ปัสสาวะตอนกลางคืน ปัสสาวะแสบขัดเป็นสัญญาณของโรคอะไร?

ปัสสาวะตอนกลางคืน ปัสสาวะแสบขัดเป็นสัญญาณของโรคอะไร?

คุณมักจะตื่นขึ้นมาตอนกลางคืนเพื่อปัสสาวะ? คุณรู้สึกแสบร้อนขณะปัสสาวะ? นั่นอาจเป็นสัญญาณบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพหลายอย่าง บทความนี้จะช่วยไขข้อข้องใจของคุณเกี่ยวกับอาการปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน ปัสสาวะแสบร้อน และวิธีรับมืออย่างมีประสิทธิภาพ

1. ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืนและปัสสาวะแสบร้อนคืออะไร?

อาการปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืนและปัสสาวะแสบร้อน ไม่เพียงแต่รบกวนการนอนหลับเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อคุณภาพชีวิตอีกด้วย อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณของโรคต่างๆ เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ต่อมลูกหมากโต หรือแม้แต่อาการที่รุนแรงกว่านั้น จากสถิติพบว่าประมาณ 60% ของผู้ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไปประสบกับภาวะปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน แล้วอะไรเป็นสาเหตุของอาการเหล่านี้ และจะปรับปรุงอย่างไร? มาหาคำตอบได้ในหัวข้อถัดไปของบทความนี้

อาการของ Nocturia และการถ่ายปัสสาวะอย่างเจ็บปวดมีอะไรบ้าง?
อาการของ Nocturia และการถ่ายปัสสาวะอย่างเจ็บปวดมีอะไรบ้าง?

2. ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืนและปัสสาวะแสบร้อนเป็นสัญญาณของโรคอะไร?

อาการปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืนและปัสสาวะแสบร้อนเป็นสัญญาณที่ร่างกายส่งมาเตือนว่าคุณกำลังมีปัญหาสุขภาพ เบื้องหลังอาการเหล่านี้อาจเป็นโรคที่อันตราย เช่น  การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ นิ่วในไต หรือแม้แต่มะเร็งบางชนิด ดังนั้นการมองข้ามอาการเหล่านี้จึงเป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง

2.1 ท่อปัสสาวะอักเสบ

ท่อปัสสาวะอักเสบคือภาวะที่ท่อปัสสาวะเกิดการอักเสบ ทำให้การปัสสาวะเป็นไปอย่างยากลำบากและเจ็บปวด โรคนี้มักเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย สัญญาณเตือนของท่อปัสสาวะอักเสบ ได้แก่:

  • ปัสสาวะแสบร้อน ปัสสาวะขัด: เป็นอาการที่พบได้บ่อยและมักปรากฏขึ้นเป็นอันดับแรก
  • ปวดท้องน้อย: รู้สึกปวดบริเวณกระดูกเชิงกราน
  • มีไข้ หนาวสั่น: เป็นปฏิกิริยาของร่างกายต่อการติดเชื้อ
  • มีของเหลวผิดปกติไหลออกมา: อาจพบหนองหรือมูกที่ปลายท่อปัสสาวะ
  • คัน แสบร้อน: รู้สึกไม่สบายบริเวณรอบๆ รูเปิดท่อปัสสาวะ

หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ท่อปัสสาวะอักเสบอาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตราย เช่น ไตอักเสบ ต่อมลูกหมากอักเสบ หรือแม้กระทั่งภาวะมีบุตรยาก

2.2 นิ่วในไต

นิ่วในไตเกิดขึ้นเมื่อแร่ธาตุและเกลือในปัสสาวะตกผลึกจับตัวกันเป็นก้อนแข็ง เมื่อก้อนนิ่วเหล่านี้มีขนาดใหญ่ขึ้น อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพที่ร้ายแรงต่อระบบทางเดินปัสสาวะ

นิ่วในไตทำให้เกิดปัญหาร้ายแรงในระบบทางเดินปัสสาวะ
นิ่วในไตทำให้เกิดปัญหาร้ายแรงในระบบทางเดินปัสสาวะ

ทำไมนิ่วในไตถึงอันตราย?

  • อุดตันท่อปัสสาวะ: นิ่วในไตเคลื่อนที่ลงไปที่ท่อปัสสาวะ อาจทำให้เกิดการอุดตัน ทำให้ปัสสาวะไหลออกได้ยาก
  • ทำลายท่อปัสสาวะ: การเคลื่อนที่ของนิ่วทำให้เกิดการเสียดสี ทำให้ท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะเสียหาย
  • ก่อให้เกิดการติดเชื้อ: นิ่วในไตเอื้อต่อการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรีย ทำให้เกิดการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ

สัญญาณเตือนของนิ่วในไต:

  • ปวดบริเวณไต: ปวดอย่างรุนแรง มักปวดข้างใดข้างหนึ่งบริเวณสีข้าง ลามลงไปที่ท้องน้อย
  • ปัสสาวะเป็นเลือด: ปัสสาวะมีสีชมพู แดง หรือน้ำตาล
  • ปัสสาวะแสบร้อน ปัสสาวะขัด: รู้สึกแสบร้อน ไม่สบายขณะปัสสาวะ
  • ปัสสาวะบ่อย: ปัสสาวะบ่อยครั้ง แต่มีปริมาณปัสสาวะน้อย
  • คลื่นไส้ อาเจียน: เป็นปฏิกิริยาของร่างกายต่อความเจ็บปวด
  • มีไข้ หนาวสั่น: เมื่อมีการติดเชื้อร่วมด้วย

2.3 โรคต่อมลูกหมากอักเสบ

โรคต่อมลูกหมากอักเสบคือภาวะติดเชื้อที่ต่อมลูกหมาก ซึ่งเป็นต่อมสำคัญในระบบสืบพันธุ์เพศชาย โรคนี้มักเกิดจากแบคทีเรีย เช่น E.coli โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้ชายวัยกลางคน สัญญาณเตือนของโรคต่อมลูกหมากอักเสบ ได้แก่:

  • ปัสสาวะผิดปกติ: ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะสะดุด ปัสสาวะลำบาก เป็นอาการที่พบได้บ่อยที่สุด
  • น้ำปัสสาวะผิดปกติ: ปัสสาวะมีสีขุ่น มีกลิ่นเหม็น หรือมีเลือดปน
  • มีไข้ หนาวสั่น: ร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อการติดเชื้อ
  • ความผิดปกติของสมรรถภาพทางเพศ: ปวดเมื่อหลั่งอสุจิ ความต้องการทางเพศลดลง ภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
  • ปวด: รู้สึกปวดบริเวณท้องน้อย บริเวณเชิงกราน หรือที่อวัยวะเพศ

หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที โรคต่อมลูกหมากอักเสบอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้มากมาย เช่น:

  • การติดเชื้อแพร่กระจาย: แบคทีเรียอาจแพร่กระจายไปยังอวัยวะใกล้เคียง เช่น กระเพาะปัสสาวะ ไต
  • ฝีที่ต่อมลูกหมาก: ภาวะติดเชื้อรุนแรง ทำให้ต่อมลูกหมากบวมและเป็นหนอง
  • ภาวะมีบุตรยาก – เป็นหมัน: การติดเชื้อส่งผลต่อคุณภาพของอสุจิ ทำให้ยากต่อการตั้งครรภ์

2.4 โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ

โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบคือภาวะที่กระเพาะปัสสาวะติดเชื้อ ซึ่งมักเกิดจากแบคทีเรีย เมื่อเกิดการอักเสบ กระเพาะปัสสาวะจะไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ ทำให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์มากมาย สัญญาณบ่งชี้ว่าคุณกำลังเป็นโรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ได้แก่:

  • ปัสสาวะผิดปกติ: ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะสะดุด ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะในเวลากลางคืน
  • น้ำปัสสาวะผิดปกติ: ปัสสาวะมีสีขุ่น มีกลิ่นเหม็น หรือมีเลือดปน
  • รู้สึกปวดปัสสาวะบ่อย:*รู้สึกอยากปัสสาวะ แม้ว่ากระเพาะปัสสาวะจะไม่เต็ม
  • ปวดท้องน้อย:*รู้สึกปวดบริเวณท้องน้อย
  • ปวดหลัง: ปวดบริเวณหลังทั้งสองข้าง หรือตรงกลางหลัง
  • มีไข้ต่ำๆ: ร่างกายมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อการติดเชื้อ
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเป็นหนึ่งในโรคทางเดินปัสสาวะที่พบบ่อย
โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบเป็นหนึ่งในโรคทางเดินปัสสาวะที่พบบ่อย

หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้มากมาย เช่น:

  • การติดเชื้อแพร่กระจาย: แบคทีเรียอาจแพร่กระจายขึ้นไปที่ไต ทำให้เกิดโรคไตอักเสบ
  • ความเสียหายของกระเพาะปัสสาวะ: การอักเสบเรื้อรังอาจทำให้เยื่อบุผนังกระเพาะปัสสาวะเสียหาย
  • ส่งผลต่อคุณภาพชีวิต: อาการของโรคทำให้เกิดความยากลำบากในการใช้ชีวิตประจำวัน

2.5 ท่อปัสสาวะตีบ

ท่อปัสสาวะ เป็นท่อที่นำปัสสาวะจากกระเพาะปัสสาวะออกสู่ภายนอก มีบทบาทสำคัญในระบบทางเดินปัสสาวะ เมื่อท่อปัสสาวะตีบ การถ่ายปัสสาวะจะเป็นไปอย่างยากลำบาก ทำให้เกิดความรำคาญกับผู้ป่วย สัญญาณบ่งชี้ว่าคุณกำลังเผชิญกับภาวะท่อปัสสาวะตีบ ได้แก่:

  • ปัสสาวะผิดปกติ: ปัสสาวะลำบาก ปัสสาวะเจ็บ ปัสสาวะสะดุด ลำปัสสาวะเบาและขาดเป็นช่วงๆ เป็นอาการทั่วไป คุณอาจรู้สึกเหมือนกำลัง “บีบ” ปัสสาวะออกจากร่างกาย
  • nมีเลือดปนในปัสสาวะหรือน้ำอสุจิ: นี่คือสัญญาณเตือนของภาวะท่อปัสสาวะฉีกขาด
  • ปวดบริเวณเชิงกราน: รู้สึกปวด ไม่สบายบริเวณท้องน้อย
  • กระเพาะปัสสาวะตึง: กระเพาะปัสสาวะเต็ม ทำให้รู้สึกไม่สบาย หรือแม้แต่เจ็บปวด

ภาวะท่อปัสสาวะตีบมักเป็นผลมาจากโรคอื่นๆ เช่น:

  • การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ: โรคต่างๆ เช่น โรคท่อปัสสาวะอักเสบ โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบ โรคต่อมลูกหมากอักเสบ หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่ภาวะท่อปัสสาวะตีบได้
  • การบาดเจ็บ: การบาดเจ็บบริเวณเชิงกรานหรือท่อปัสสาวะ อาจทำให้เกิดความเสียหายและทำให้ท่อปัสสาวะตีบได้
  • นิ่วในท่อปัสสาวะ: นิ่วที่ติดอยู่ในท่อปัสสาวะ อาจทำให้เกิดการระคายเคืองและทำให้ท่อปัสสาวะตีบได้
  • การใช้ยา: ยาบางชนิดอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงคือท่อปัสสาวะตีบได้

2.6 โรคหนองใน

โรคหนองในเป็นหนึ่งในโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบได้บ่อย เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย Neisseria gonorrhoeae ทั้งเพศชายและเพศหญิงสามารถติดเชื้อนี้ได้ หลังจากติดเชื้อประมาณ 3-5 วัน ผู้ป่วยมักจะมีอาการดังนี้:

  • ปัสสาวะผิดปกติ: ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะสะดุด
  • มีสารหลั่งออกมาผิดปกติ: มีหนองสีเหลืองไหลออกมาจากท่อปัสสาวะ อาจมีเลือดปน

3. วิธีรักษาอาการปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืนและปัสสาวะแสบขัดอย่างได้ผล

อาการปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืนและปัสสาวะแสบขัด ไม่เพียงแต่ก่อให้เกิดความรู้สึกไม่สบายตัว ปวดแสบร้อนเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบอย่างมากต่อคุณภาพชีวิตและการทำงานในชีวิตประจำวัน การปัสสาวะบ่อยๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวลากลางคืน ทำให้คุณนอนไม่หลับ เหนื่อยล้า และมีสมาธิยาก ขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค จึงมีวิธีการรักษาที่แตกต่างกันออกไป

3.1 การรักษาด้วยวิธีการแพทย์แผนปัจจุบัน

รักษาภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ด้วยการแพทย์แผนตะวันตก
รักษาภาวะกลั้นปัสสาวะไม่อยู่ด้วยการแพทย์แผนตะวันตก

อาการปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืนและปัสสาวะแสบขัดมักเป็นสัญญาณของโรคต่างๆ มากมาย ดังนั้นวิธีการรักษาจะขึ้นอยู่กับสาเหตุของโรค ต่อไปนี้เป็นวิธีการรักษาที่พบบ่อย:

โรคหนองใน:

  • กรณีไม่รุนแรง: แพทย์มักจะสั่งจ่ายยาปฏิชีวนะเพื่อรักษาที่บ้าน
  • กรณีรุนแรง: อาจต้องใช้วิธีการรักษาที่ทันสมัย เช่น การฟื้นฟูยีนบำบัด

การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ (ต่อมลูกหมากอักเสบ, กระเพาะปัสสาวะอักเสบ):

  • ยาปฏิชีวนะ: ยาเช่น Trimethoprim, Sulfamethoxazole, Fosfomycin, Nitrofurantoin, Quinolone, Macrolid, Cyclin มักใช้ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดโรค

นิ่วในไต:

  • นิ่วขนาดเล็ก: สามารถรักษาได้ด้วยยาควบคู่ไปกับการควบคุมอาหารและการดื่มน้ำให้เพียงพอ
  • นิ่วขนาดใหญ่: จำเป็นต้องได้รับการรักษาด้วยวิธีการสลายนิ่ว เช่น การสลายนิ่วนอกร่างกาย การสลายนิ่วผ่านผิวหนัง การสลายนิ่วผ่านทางเดินปัสสาวะ ในกรณีที่นิ่วมีขนาดใหญ่และซับซ้อนเกินไป อาจต้องได้รับการผ่าตัด

ความผิดปกติของกระเพาะปัสสาวะ:

  • ยารักษาอาการกล้ามเนื้อเรียบหดเกร็ง: ช่วยลดอาการปวดเกร็งในไตและทางเดินปัสสาวะ
  • ยาต้านอาการซึมเศร้าหรือยาต้านการทำงานของประสาทส่วนปลาย: ช่วยควบคุมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ

เพื่อรักษาอาการปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืนและปัสสาวะแสบขัดให้หายขาด คุณควรไปพบแพทย์ที่สถานพยาบาลเพื่อรับการตรวจและขอคำแนะนำ แพทย์จะทำการตรวจร่างกายและส่งตรวจเพิ่มเติมที่จำเป็นเพื่อหาสาเหตุของโรคและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุด

3.2 การใช้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ONEO

รักษากลางคืนด้วยยา ONEO
รักษากลางคืนด้วยยา ONEO

ด้วยส่วนผสมที่เป็นเอกลักษณ์จากสมุนไพรล้ำค่า เช่น ถังเช่า สารสกัดจากเมล็ดฟักทอง และถั่วงอก ONEO นำเสนอทางเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะกระปริดกระปรอย …

กลไกการออกฤทธิ์ที่เหนือกว่า:

  • ลดการระคายเคือง เพิ่มความจุของกระเพาะปัสสาวะ: ONEO ให้ไนตริกออกไซด์ซึ่งช่วยให้กระเพาะปัสสาวะขยายตัวได้ดีขึ้น ลดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ ลดอาการปัสสาวะกระปริดกระปรอย และปัสสาวะบ่อย
  • ปรับปรุงสุขภาพกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน: ผลิตภัณฑ์ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปยังกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ช่วยควบคุมการปัสสาวะได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • ปรับปรุงการนอนหลับ: ONEO ช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมน เพิ่มการผลิตฮอร์โมนต้านการขับปัสสาวะ ADH ลดปริมาณปัสสาวะในเวลากลางคืนและช่วยให้คุณนอนหลับได้ดีขึ้น

กลุ่มเป้าหมายที่ควรใช้:

  • ผู้ที่มีภาวะกระเพาะปัสสาวะไวเกิน (OAB) ซึ่งหมายถึงกระเพาะปัสสาวะไวต่อสิ่งเร้าและหดตัวผิดปกติ
  • ผู้ที่ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืน ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะกระปริดกระปรอย ปัสสาวะเล็ด ปัสสาวะราด
  • ผู้ที่ต้องการปรับปรุงคุณภาพการนอนหลับและคุณภาพชีวิต

ทำไมต้องเลือก ONEO?

  • ส่วนผสมจากธรรมชาติ: ปลอดภัย อ่อนโยน ไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง
  • ประสิทธิภาพที่ครอบคลุม: แก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุของปัญหากระเพาะปัสสาวะ
  • ใช้งานง่าย: สะดวกสบายในการใช้ชีวิตประจำวัน

ONEO เป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับผู้ที่กำลังมองหาวิธีแก้ปัญหาที่เป็นธรรมชาติและมีประสิทธิภาพในการปรับปรุงปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะปัสสาวะ ด้วยกลไกการออกฤทธิ์ทางวิทยาศาสตร์และส่วนผสมที่ปลอดภัย ONEO ช่วยให้คุณกลับมามั่นใจและสะดวกสบายในชีวิต

4. ข้อควรปฏิบัติในการรักษาอาการปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืนและปัสสาวะแสบขัด

นอกจากการปฏิบัติตามแผนการรักษาของแพทย์แล้ว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารและการใช้ชีวิตประจำวันมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการปรับปรุงอาการปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืนและปัสสาวะแสบขัด ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำที่เป็นประโยชน์:

  • รักษาความสะอาด: ทำความสะอาดบริเวณจุดซ่อนเร้นให้สะอาดและแห้งอยู่เสมอ เพื่อป้องกันการสะสมของเชื้อแบคทีเรียที่อาจก่อให้เกิดการติดเชื้อ
  • ดื่มน้ำให้เพียงพอ: ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย (ประมาณ 1.5-2 ลิตรต่อวัน) เพื่อช่วยเจือจางปัสสาวะ ช่วยขับเชื้อแบคทีเรีย และลดการระคายเคืองของท่อปัสสาวะ
  • บริโภคผักใบเขียว: ผักใบเขียวอุดมไปด้วยใยอาหาร ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดอาการท้องผูก ซึ่งจะช่วยลดแรงกดต่อกระเพาะปัสสาวะ
  • จำกัดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน: เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของคาเฟอีน เช่น แอลกอฮอล์ เบียร์ กาแฟ ทำให้เกิดความถี่ในการปัสสาวะมากขึ้น และอาจทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเยื่อบุกระเพาะปัสสาวะ
  • หลีกเลี่ยงอาหารรสจัด: อาหารรสจัดอาจทำให้เกิดการอักเสบรุนแรงขึ้น และทำให้รู้สึกไม่สบายตัวขณะปัสสาวะ
  • ปัสสาวะทันทีเมื่อรู้สึกปวด: ไม่ควรกลั้นปัสสาวะเป็นเวลานาน เนื่องจากจะทำให้กระเพาะปัสสาวะขยายตัว ซึ่งเอื้อต่อการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย
  • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ: การออกกำลังกายเบาๆ ช่วยเสริมสร้างสุขภาพโดยรวม เพิ่มภูมิคุ้มกัน และปรับปรุงการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ

5. เอกสารอ้างอิง

https://www.medicalnewstoday.com/articles/316869#Treatment%20for%20nocturia

https://www.webmd.com/urinary-incontinence-oab/nocturia-pee-night

https://my.clevelandclinic.org/health/diseases/14510-nocturia

0617862236