การปัสสาวะเป็นกระบวนการทางร่างกายตามปกติที่ช่วยกำจัดของเสียออกจากร่างกาย ปริมาณและความถี่ในการปัสสาวะสามารถบ่งบอกถึงสุขภาพของแต่ละบุคคลได้ อย่างไรก็ตาม การปัสสาวะบ่อยครั้งอาจเป็นสัญญาณเตือนของโรคต่างๆ ที่ควรให้ความสนใจ
1. สรีรวิทยาของการปัสสาวะในคนปกติ
ระบบทางเดินปัสสาวะทำหน้าที่ผลิต กักเก็บ และขับปัสสาวะออกจากร่างกาย อวัยวะในระบบนี้ประกอบด้วย ไต 2 ข้าง ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ และท่อปัสสาวะ ปัจจัยที่ส่งผลต่ออวัยวะเหล่านี้เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ปัสสาวะบ่อย
ปัสสาวะเกิดจากกระบวนการกรองที่หน่วยไต การดูดซึมกลับที่ท่อไต และถูกกักเก็บไว้ที่กระเพาะปัสสาวะ โดยสรุป เลือดจะถูกกรองที่โบว์แมนส์แคปซูลของหน่วยไต เกิดเป็นสารละลายที่มีโมเลกุลขนาดเล็กเรียกว่า น้ำปัสสาวะขั้นต้น
จากนั้น น้ำปัสสาวะขั้นต้นจะไหลผ่านท่อไตซึ่งมีโครงสร้างที่แตกต่างกันไป ทำให้เกิดการดูดซึมน้ำและสารอาหารที่จำเป็นกลับคืนสู่ร่างกาย ปัสสาวะจะถูกทำให้เข้มข้นขึ้น เหลือเพียงของเสียที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
สุดท้าย ปัสสาวะจะไหลเข้าสู่กรวยไต ท่อไต และเข้าสู่กระเพาะปัสสาวะก่อนถูกขับออกจากร่างกาย
โดยปกติแล้ว คนเราควรดื่มน้ำให้เพียงพอประมาณ 2 ลิตรต่อวัน ในร่างกายที่แข็งแรง อัตราการกรองของไตจะคงที่ ปริมาณปัสสาวะที่ขับออกจะใกล้เคียงกับปริมาณน้ำที่ได้รับเข้าไป ความถี่ในการปัสสาวะโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 6-8 ครั้งต่อ 24 ชั่วโมง ปริมาณปัสสาวะแต่ละครั้งอยู่ที่ 300-500 มิลลิลิตร โดยทั่วไปคนเราจะไม่ปัสสาวะหรือปัสสาวะน้อยมากในเวลากลางคืนเนื่องจากอัตราการกรองของไตจะลดลง
ในบางกรณี การปัสสาวะบ่อยครั้ง (มากกว่า 8 ครั้งต่อ 24 ชั่วโมง) อาจส่งผลกระทบต่อกิจวัตรประจำวันของแต่ละบุคคลได้
2. ปัสสาวะบ่อยเป็นสัญญาณของโรคอะไร?
หากดื่มน้ำมากเกินไป การปัสสาวะบ่อยถือเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม หากร่างกายได้รับน้ำไม่เพียงพอ ไม่ได้ใช้ยาใดๆ แต่ยังคงปัสสาวะบ่อย นั่นอาจเป็นปัญหาที่น่ากังวลได้ ในกรณีนี้ การปัสสาวะบ่อยอาจเป็นสัญญาณของโรคต่างๆ เช่น
2.1. โรคไตวาย
ไตวายคือภาวะที่ไตทำงานบกพร่องลง ส่งผลให้อัตราการทำงานของไตลดลง ไตวายแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
- ไตวายเฉียบพลัน: ภาวะที่ไตทำงานล้มเหลวอย่างรวดเร็ว เกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การติดเชื้อ การใช้ยาบางชนิด
ผลที่ตามมาของไตวายเฉียบพลันคือระดับของเสียในเลือด เช่น ยูเรีย ครีอะตินีน เพิ่มสูงขึ้น ไตวายเฉียบพลันจำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน อาจทำให้เสียชีวิตได้จากภาวะแทรกซ้อนต่างๆ แต่สามารถฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติได้หากได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
- ไตวายเรื้อรัง: ภาวะที่จำนวนหน่วยไตที่ทำงานได้ลดลงอย่างช้าๆ ทำให้อัตราการกรองของไตค่อยๆ ลดลง กระบวนการนี้เกิดขึ้นอย่างช้าๆ และไม่สามารถฟื้นฟูกลับมาได้
ในระยะหลังของไตวายเฉียบพลันหรือระยะแรกของไตวายเรื้อรัง ผู้ป่วยจะมีอาการปัสสาวะบ่อย (Polyuria)
สาเหตุเนื่องจากไตทำงานหนักขึ้นเพื่อชดเชยส่วนที่ทำงานบกพร่องไป ทำให้เกิดปัสสาวะมากขึ้น กระเพาะปัสสาวะเต็มเร็ว จึงปัสสาวะบ่อย นอกจากนี้ ผู้ป่วยไตวายยังอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น
- บวม: บวมทั่วร่างกาย ผิวหนังยืดหยุ่น กดบุ๋ม
- ปัสสาวะผิดปกติ: ปัสสาวะน้อย ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะไม่ออก
- ขาดน้ำและเกลือแร่
- ความดันโลหิตสูง
- ภาวะเลือดเป็นกรด
เมื่อตรวจพบว่าอาการปัสสาวะบ่อยเกิดจากโรคไต แพทย์จะวางแผนการรักษาที่เหมาะสม โดยพิจารณาจากระยะและชนิดของโรคไตที่พบ โดยทั่วไป การรักษาประกอบด้วย
- ค้นหา รักษา หรือขจัดสาเหตุที่ทำให้เกิดโรค
- ปรับสมดุลน้ำและเกลือแร่
- ลดภาวะแทรกซ้อนจากโรคไต
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาที่เป็นพิษต่อไต
2.2. นิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ
นิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ คือ ภาวะที่มีการก่อตัวและการปรากฏของก้อนนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ ซึ่งนิ่วในตำแหน่งกายวิภาคต่างๆ จะมีชื่อเรียกต่างกัน ได้แก่ นิ่วในไต นิ่วในท่อไต นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ
นิ่วก่อตัวขึ้นจากเกลือแร่ที่ละลายในปัสสาวะ เกลือแร่เหล่านี้จะตกผลึกเป็นแกนเล็กๆ แล้วค่อยๆ ใหญ่ขึ้นเป็นก้อนนิ่ว
อาการของนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนิ่วเคลื่อนที่ จะทำให้เกิดอาการปวด นอกจากนี้ยังทำให้ปัสสาวะบ่อย ผู้ป่วยนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะอาจมีอาการดังต่อไปนี้
- การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
- ไตบวม มีหนองในไต
- มีไข้ หนาวสั่น
- ปัสสาวะเป็นเลือด
- ปัสสาวะเป็นหนอง
นิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะสามารถรักษาได้โดย
- ดื่มน้ำมาก ๆ ออกกำลังกายเพื่อให้นิ่วขนาดเล็กและขนาดกลางสามารถหลุดออกมาทางปัสสาวะได้
- การผ่าตัดเอานิ่วออก: การส่องกล้อง การผ่าตัดเอาออก การสลายนิ่วด้วยคลื่นเสียงความถี่สูง
- ป้องกันการเกิดนิ่วซ้ำโดยการดื่มน้ำมาก ๆ (มากกว่า 2 ลิตรต่อวัน) ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและการใช้ยาตามชนิดของนิ่ว
2.3. โรคเบาหวาน
โรคเบาหวาน เป็นโรคเรื้อรังที่เกิดจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน ส่งผลให้ร่างกายมีการเผาผลาญน้ำตาลผิดปกติ โรคนี้มีลักษณะเฉพาะคือ มีระดับน้ำตาลในเลือดสูงเรื้อรัง และความผิดปกติของการเผาผลาญ
โรคเบาหวานแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ประเภทที่ 1 และประเภทที่ 2 ปัจจุบันโรคเบาหวานมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นในประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลก อาการที่พบบ่อยของโรคเบาหวาน ได้แก่
- ปัสสาวะบ่อย ปริมาณปัสสาวะเพิ่มขึ้น
- กินมาก ดื่มมาก น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็ว
- สายตาผิดปกติ
- ภาวะเลือดเป็นกรดจากคีโตน
โรคเบาหวานมีภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายและยากต่อการรักษาให้หายขาด อย่างไรก็ตาม การรักษาตั้งแต่ระยะแรกเริ่มจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพมาก เช่น
- ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ โดยไม่ก่อให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เช่น การควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย
- การรักษาและป้องกันภาวะแทรกซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาวะแทรกซ้อนทางหัวใจและหลอดเลือด
2.4. การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ
การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ เป็นภาวะที่เกิดการติดเชื้อในส่วนต่างๆ ของระบบทางเดินปัสสาวะ โดยมีลักษณะเฉพาะคือ การปรากฏของเชื้อแบคทีเรียในปัสสาวะ หรือมีอาการแสดงถึงการบุกรุกของเชื้อแบคทีเรียในส่วนใดส่วนหนึ่งหรือหลายส่วนของระบบทางเดินปัสสาวะ
การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะจะเรียกชื่อต่างกันไปตามตำแหน่งที่ติดเชื้อ ได้แก่
- การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะส่วนบน: กรวยไตอักเสบ
- การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะส่วนล่าง: กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ท่อปัสสาวะอักเสบ อักเสบที่ท่อปัสสาวะ
การติดเชื้อในตำแหน่งเหล่านี้อาจเกิดขึ้นพร้อมกันหรือแยกจากกันได้ โรคนี้สามารถมีอาการหรือไม่มีอาการก็ได้ เช่น
- ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะบ่อย
- ปัสสาวะเป็นเลือด ปัสสาวะขุ่น
- ปวดบริเวณบั้นเอว
- ปวดท้องน้อยด้านข้างข้างใดข้างหนึ่งหรือทั้งสองข้าง
การติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะเรื้อรังอาจทำให้เกิดภาวะไตวายเรื้อรังได้ การรักษาโรคนี้ทำได้โดย
- การใช้ยาปฏิชีวนะ: เลือกใช้ยาปฏิชีวนะตามชนิดของเชื้อแบคทีเรียและผลการทดสอบความไวของเชื้อต่อยาปฏิชีวนะ เพื่อให้การรักษาได้ผลและป้องกันการดื้อยา
- การขจัดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้โรคกำเริบ
2.5. ท่อปัสสาวะตีบ
ท่อปัสสาวะตีบ เป็นภาวะที่ท่อปัสสาวะส่วนต้นเกิดการตีบแคบลง ซึ่งอาจเกิดขึ้นตั้งแต่กำเนิดหรือเกิดขึ้นภายหลังก็ได้ สาเหตุของท่อปัสสาวะตีบ ได้แก่ การบาดเจ็บ การติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ หรือเป็นภาวะแทรกซ้อนหลังการผ่าตัด
ท่อปัสสาวะตีบทำให้ปัสสาวะไหลออกได้ไม่สะดวก จึงต้องปัสสาวะบ่อยๆ เพื่อขับปัสสาวะให้หมด นอกจากนี้ยังมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น
- ปัสสาวะแตกเป็นสองสาย
- ปัสสาวะขัด ปัสสาวะไม่สุด
ท่อปัสสาวะตีบมาก ๆ จะทำให้รู้สึกปัสสาวะไม่ออก ปวดเบ่ง ปวดหน่วงบริเวณท้องน้อย วิธีการรักษาที่จำเป็นคือ
- การขยายท่อปัสสาวะ
- การผ่าตัดเปิดท่อปัสสาวะ
- การใส่ท่อขยายท่อปัสสาวะ
- การผ่าตัดสร้างท่อปัสสาวะใหม่
2.6. กระเพาะปัสสาวะอักเสบ
กระเพาะปัสสาวะอักเสบ เป็นการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะชนิดหนึ่ง การอักเสบนี้ทำให้เซลล์ของกระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติ รบกวนความสามารถในการกักเก็บและขับปัสสาวะ
กระเพาะปัสสาวะที่อักเสบจะทำงานผิดปกติ ทำให้เกิดการขับปัสสาวะออกบ่อยครั้ง
ดังนั้นผู้ป่วยกระเพาะปัสสาวะอักเสบมักจะมีอาการดังนี้
- ปัสสาวะบ่อยในระหว่างวัน
- กลั้นปัสสาวะไม่อยู่
เช่นเดียวกับการติดเชื้อในระบบทางเดินปัสสาวะ การอักเสบของกระเพาะปัสสาวะสามารถรักษาให้หายได้โดย
- การใช้ยาปฏิชีวนะเพื่อกำจัดสาเหตุของการอักเสบ
- การใช้ยาลดการอักเสบ ยาบรรเทาอาการของโรค
- การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของร่างกาย
2.7. ต่อมลูกหมากโต
ต่อมลูกหมากโตเป็นโรคที่เกิดขึ้นในเพศชาย ปัจจุบัน อัตราส่วนของผู้ชายที่ป่วยเป็นโรคนี้มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น
โรคนี้เกิดขึ้นเนื่องจากขนาดของต่อมลูกหมากโตขึ้นผิดปกติ ทำให้ไปกดทับท่อปัสสาวะ กระเพาะปัสสาวะ และทำให้เกิดอาการต่างๆ ดังนี้
- ปัสสาวะลำบาก
- ปัสสาวะขัดๆ
- ปวดปัสสาวะบ่อย
การรักษาต่อมลูกหมากโตจะขึ้นอยู่กับความรุนแรงของโรคที่เป็น
- การรักษาด้วยยา: ใช้ยา สมุนไพร เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของต่อมลูกหมาก
- การรักษาด้วยการผ่าตัด: ผ่าตัดต่อมลูกหมาก
3. สาเหตุของการปัสสาวะบ่อย
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่า สาเหตุของการปัสสาวะบ่อย เกิดจากปัจจัยต่างๆ ดังนี้
3.1. กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน
โดยปกติ เมื่อกระเพาะปัสสาวะเต็ม กล้ามเนื้อเรียบของกระเพาะปัสสาวะจะหดตัว เพื่อขับปัสสาวะออกไป ลดอาการปวดปัสสาวะ เมื่อกระเพาะปัสสาวะบีบตัวไวเกิน กล้ามเนื้อจะหดตัวบ่อยครั้ง ไม่ว่ากระเพาะปัสสาวะจะเต็มหรือไม่ก็ตาม
ดังนั้น ผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดปัสสาวะกะทันหัน ต้องรีบเข้าห้องน้ำทันที ความถี่ในการปัสสาวะจึงเพิ่มขึ้น ส่งผลต่อสุขภาพและนาฬิกาชีวิตของผู้ป่วย
3.2. ความดันในช่องท้องเพิ่มขึ้น
โดยปกติ ความดันในช่องท้องของคนที่มีสุขภาพแข็งแรงจะอยู่ที่ประมาณ 0-5 มิลลิเมตรปรอท ความดันนี้จะเปลี่ยนแปลงไปตามการหายใจ: ความดันจะเพิ่มขึ้นเมื่อหายใจเข้า และลดลงเมื่อหายใจออก ในผู้ที่มีภาวะอ้วน ความดันนี้อาจสูงกว่าปกติ
ความดันในช่องท้องถือว่าสูงเกินไปเมื่อค่าของมันสูงกว่า 16 เซนติเมตรของน้ำ ในการวัดอย่างน้อย 3 ครั้ง โดยแต่ละครั้งห่างกัน 4-6 ชั่วโมง ความดันในช่องท้องที่เพิ่มขึ้นจะไปกดทับอวัยวะภายในช่องท้อง ทำให้เกิดอาการต่างๆ ได้มากมาย
ไม่เพียงเท่านั้น ยังส่งผลให้ความดันในกระเพาะปัสสาวะเพิ่มขึ้นด้วย ส่งผลให้กระเพาะปัสสาวะต้องบีบตัวบ่อยขึ้น เพื่อขับปัสสาวะออกไป ปรับสมดุลความดัน ทำให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น
3.3. เส้นประสาทถูกทำลาย
เส้นประสาทมีส่วนร่วมในการควบคุมการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ เมื่อเส้นประสาทถูกทำลาย จะทำให้การส่งสัญญาณประสาทผิดปกติ สัญญาณไม่สามารถส่งไปถึง ทำให้การทำงานของกระเพาะปัสสาวะเสียการควบคุม
ผลที่ตามมาคือ ผู้ป่วยไม่เพียงแต่ปัสสาวะบ่อยในระหว่างวันเท่านั้น แต่ยังไม่สามารถกลั้นปัสสาวะได้อีกด้วย ทำให้เกิดอาการปัสสาวะเล็ด
3.4. สาเหตุอื่นๆ
การใช้ยาขับปัสสาวะแรง
ยาขับปัสสาวะมักใช้ในผู้ป่วยที่มีอาการบวมน้ำจากภาวะเกลือแร่และน้ำในร่างกายไม่สมดุล ยานี้เหมาะสำหรับการรักษาโรคไตวาย ความดันโลหิตสูง เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม การใช้ยาขับปัสสาวะเป็นเวลานาน ทำให้การทำงานของไตแย่ลงเรื่อยๆ เมื่อเป็นเช่นนั้น ไตจะไม่สามารถควบคุมการกรองได้ ทำให้ปริมาณปัสสาวะเพิ่มขึ้น จนทำให้ปัสสาวะบ่อย
ปัจจัยเสี่ยง
ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่ทำให้เกิดอาการปัสสาวะบ่อยได้ง่ายขึ้น และมักจะกลับมาเป็นซ้ำ ปัจจัยเหล่านี้เมื่อเกิดขึ้นเป็นเวลานานก็จะส่งผลเสียต่อสุขภาพได้เช่นกัน ภาวะอ้วน ไอเรื้อรัง ท้องผูก เป็นต้น ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้ปัสสาวะบ่อยได้
สาเหตุของโรคต่างๆ ข้างต้น สามารถตรวจคัดกรองได้ เพื่อป้องกันการเกิดโรค ดังนั้น ควรรักษาสุขภาพให้แข็งแรง และหมั่นตรวจสุขภาพเป็นประจำ เพื่อให้สามารถตรวจพบโรคได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น และสามารถรักษาได้อย่างทันท่วงที
4. วิธีวินิจฉัยการปัสสาวะบ่อย
การไปพบแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการ จะช่วยให้ทราบถึงชนิดของโรคและสาเหตุของโรคได้อย่างถูกต้อง แม่นยำ เพื่อที่จะได้หาวิธีแก้ไขได้อย่างเหมาะสม วิธีการตรวจวินิจฉัยโรคต่างๆ ดังต่อไปนี้ อาจจะถูกนำมาใช้เพื่อให้การวินิจฉัยโรคเป็นไปอย่างถูกต้อง
ค่าปัสสาวะสะท้อนถึงการทำงานของไตและระบบทางเดินปัสสาวะของมนุษย์
- การตรวจปัสสาวะ และการเพาะเชื้อปัสสาวะ
- การตรวจปัสสาวะ: ยูเรีย ครีอะตินีน…
- การวัดปริมาณปัสสาวะคงค้าง
- การวัดความดันในกระเพาะปัสสาวะ:
- การทดสอบความจุของกระเพาะปัสสาวะ
- การตรวจทวารหนัก:
- การตรวจคลื่นไฟฟ้าของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
5. วิธีการรักษาอาการปัสสาวะบ่อย
5.1. การใช้ยา
การใช้ยารักษาอาการปัสสาวะบ่อยนั้นมีประสิทธิภาพรวดเร็วและเห็นผลดี ยาที่ใช้จะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดของโรค ได้แก่
- ยาปฏิชีวนะ: ใช้ฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของโรค
- ยาลดไข้: ใช้ในกรณีที่มีไข้สูงร่วมด้วย
- ยาต้านการทำงานของมัสคารินิก รีเซพเตอร์: ใช้เมื่อควบคุมอาการปวดปัสสาวะไม่ได้
5.2. การรักษาวิถีชีวิตให้แข็งแรง
การดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีช่วยในการรักษาโรคได้มาก วิธีนี้ช่วยป้องกันไม่ให้อาการของโรครุนแรงขึ้น และเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย
ดังนั้น ผู้ป่วยควรดูแลตัวเอง ตามนี้
- รับประทานอาหารรสจืด จำกัดปริมาณเกลือ
- รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และได้รับวิตามินอย่างเพียงพอ
- หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มและอาหารที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ เช่น คาเฟอีน แอลกอฮอล์ ของเผ็ด ของทอด
- ไม่กลั้นปัสสาวะ
- ดื่มน้ำให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย แต่ไม่ควรดื่มน้ำมากก่อนนอน
5.3. เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกราน
แบบฝึกหัด Kegel เป็นแบบฝึกหัดที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แบบฝึกหัดนี้ช่วยให้กล้ามเนื้อกระชับขึ้น ลดการหย่อนยานของกระเพาะปัสสาวะ
นอกจากการฝึก Kegel แล้ว ผู้ป่วยอาจปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับการรักษาด้วยวิธีการใช้ชีวบำบัด และการกระตุ้นด้วยไฟฟ้า
การรักษาทั้งสองวิธีนี้ให้ผลลัพธ์ที่ดีในการควบคุมกระเพาะปัสสาวะ แต่ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้ารับการรักษา
6. O NEO – ขจัดความกังวลจากปัญหาปัสสาวะบ่อย
O NEO เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดอาการปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะกลางคืน และอาการผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะอื่นๆ ผลิตภัณฑ์นี้สกัดจากสมุนไพรธรรมชาติ ปลอดภัยต่อสุขภาพ และเห็นผลรวดเร็ว
ส่วนประกอบสำคัญ:
- Pumpkin seed extract (สารสกัดจากเมล็ดฟักทอง): ช่วยบรรเทาอาการกระเพาะปัสสาวะบีบตัวมากเกินไป และช่วยให้อาการผิดปกติของระบบทางเดินปัสสาวะดีขึ้น
- Cordyceps sinensis extract (สารสกัดจากถั่งเช่า): ช่วยฟื้นฟูการทำงานของไต ลดอาการปัสสาวะกลางคืน ปัสสาวะบ่อย และลดการเกิดนิ่วในไต
- Tomato extract (สารสกัดจากมะเขือเทศ): ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด ขับปัสสาวะ ลดอาการบวมน้ำ
- Cranberry extract (สารสกัดจากแครนเบอร์รี่): ช่วยขับปัสสาวะ ลดอาการบวมน้ำ เสริมสร้างการทำงานของไต
- Soy bean extract (สารสกัดจากถั่วเหลือง): ช่วยขับปัสสาวะ ขับร้อนในร่างกาย ลดการหดเกร็งของกระเพาะปัสสาวะ
- Zinc amino acid chelate (สังกะสี): เสริมสร้างสุขภาพโดยรวม เพิ่มประสิทธิภาพให้กับวิธีการรักษาอื่นๆ
สรรพคุณ:
- ลดอาการปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะกลางคืน
- ลดการหดเกร็งของกระเพาะปัสสาวะ บรรเทาอาการปัสสาวะเล็ด ปัสสาวะแสบขัด
- เสริมสร้างการทำงานของไตและกระเพาะปัสสาวะ
- ช่วยขับปัสสาวะ ขับร้อนในร่างกาย ลดอาการบวมน้ำ
วิธีใช้:
- รับประทานวันละ 2 แคปซูล แบ่งเป็น 2 มื้อ หลังอาหารเช้าและเย็น
- ควรรับประทานอย่างต่อเนื่องทุกวันเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
เหมาะสำหรับ:
- ผู้ที่มีอาการปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะกลางคืน
- ผู้ที่มีอาการปัสสาวะกะปริบกะปรอย ปัสสาวะแสบขัด
- ผู้ที่มีภาวะไตเสื่อม กระเพาะปัสสาวะอ่อนแอ
ข้อควรระวัง:
- สตรีมีครรภ์และสตรีให้นมบุตรไม่ควรรับประทาน
- ไม่ควรรับประทาน หากแพ้ส่วนผสมใดๆ ของผลิตภัณฑ์